บทที่ 2
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
ในการศึกษา เรื่อง การผลิตชอล์กไร้ฝุ่นจากแป้งข้าวเจ้า ครั้งนี้ ผู้ศึกษาได้ศึกษาค้นคว้าเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ทำการศึกษาในประเด็นต่างๆ ดังต่อไปนี้
1. ชอล์กไร้ฝุ่น
2. แป้งข้าวเจ้า
3. รายงานการศึกษาค้นคว้าวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ชอล์กไร้ฝุ่น
ชอล์กไร้ฝุ่น (anti-dust chalk) มาจาก2คำรวมกัน คือคำว่า “ชอล์ก” (chalk) กับคำว่า
“ไร้ฝุ่น” (anti-dust) เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องที่เกี่ยวกับ “ชอล์กไร้ฝุ่น” ผู้ศึกษาจึงขอเสนอความรู้จากเอกสารที่เกี่ยวข้องกับชอล์กไร้ฝุ่น ในประเด็นต่างๆ
1. ความหมายของชอล์ก
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 (2546: 349)ได้ให้ความหมายของชอล์กว่า เครื่องเขียนกระดานดําชนิดหนึ่งที่เป็นสีขาวทําจาก แคลเซียมซัลเฟต ซึ่งได้จากเกลือจืดหรือยิปซัมผสมนํ้า, ที่มีสีอื่น ๆ ผสมด้วยดินสีหรือสีสําเร็จรูป เรียกว่า ชอล์ก
ธนาชัย ธีรพัฒนวงศ์ (2551: 488 )ได้ให้ความหมายของชอล์กว่า ชอล์ก (Chalk) หินปูนที่มีลักษณะอ่อนนุ่ม เนื้อละเอียด เป็นผงง่าย มีสีขาวจนถึงสีเทา ประกอบด้วยเปลือกของสิ่งมีชีวิตทางทะเล ชนิดที่บริสุทธิ์มากที่สุดประกอบด้วยแคลเซียมคาร์บอเนตในรูปของแร่แควไซต์มากถึงร้อยละ 99 โดยแหล่งทับทมขนาดใหญ่อยู่ในยุโรปตะวันตก ตอนใต้ของสวีเดนและในอังกฤษที่มีชื่อเสียงและรู้จักกันดีคือหน้าผาหินชอล์กแห่งโดเวอร์ตามแนวฝั่วช่องแคบอังกฤษ แหล่งทับถมอื่นๆ อยู่ในสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่รัฐเซาท์ดาโคตาจนถึงรัฐเทกซัส และทางตะวันออกจนถึงรัฐแอละแบมา หินชอล์กใช้ทำปูนขาวและปูนซีเมนต์พอร์ตแลนด์ และเป็นสารเติมดิน หินชอล์กที่บดละเอียดและบริสุทธิ์รู้จักในนามดินสอพอง ใช้อุดเนื้อไม้ ปรับสีหมึก หรือใช้เป็นรงควัตถุในวัสดุหลายๆชนิดรวมทั้งเซรามิก สีโป๊หรือปูนน้ำมัน เครื่องสำอาง ดินสอสี พลาสติก ยาง กระดาษ สีทา และพรมน้ำมัน
กาญจนา นาคสกุล (2542: ออนไลน์) ได้ให้ความหมายของชอล์กว่า ชอล์ก (ช้อก) หมายถึง หินแร่ชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของซากสัตว์ พืช และเปลือกหอยในทะเล, มีแคลเซียมคาร์บอเนตผสมอยู่มาก. หินชอล์กผุกร่อนได้ง่ายจึงมักทำให้ภูเขาที่มีหินชอล์ก เกิดหินงอก หินย้อย กลายเป็นสิ่งที่งดงามตามธรรมชาติ. คำว่า ชอล์ก มาจากคำภาษาอังกฤษว่า chalk. ชอล์ก เป็นคำเรียกวัสดุสีขาวที่ใช้เขียนกระดานดำด้วย. ชอล์กเขียนกระดานทำจากแคลเซียมซัลเฟตซึ่งได้จากเกลือจืด หรือยิปซัม ผสมน้ำ. ชอล์ก คำนี้ก็มาจากคำภาษาอังกฤษว่า chalk เช่นเดียวกัน.
พจนานุกรม ฉบับเฉลิมพระเกียรติ พ.ศ.2531 (2531: 164-165) ได้ให้ความหมายของชอล์กว่า ชอล์กคือชื่อแร่ชนิดหนึ่ง ประกอบด้วยแคลเซียมคาร์บอนเนตมีซิลิกาปนอยู่เล็กน้อย เกิดขึ้นตามธรรมชาติโดยการรวมตัวของหินปูนจากซากสัตว์ พืช และเปลือกหอยในทะเล
สรุป ความหมายของชอล์ก (chalk) คือหินแร่ชนิดหนึ่ง ที่ประกอบด้วยแคลเซียมซัลเฟตและแคลเซียมคาร์บอนเนตมีซิลิกาปนอยู่เล็กน้อย ซึ่งได้จากเกลือจืดหรือยิปซัมผสมนํ้า ที่มีสีอื่นๆ ผสมด้วยดินสีหรือสีสําเร็จรูป
2. ลักษณะของชอล์ก
ชานน ผู้ไพบูลย์พงศ์ (2555: ออนไลน์) กล่าวว่า ชอล์ค เป็นฝุ่นผงละเอียดบริสุทธิ์นำมาอัดเป็นแท่ง ใช้ในการวาดภาพ มากว่า 250 ปีแล้ว ปัจจุบัน มีการผสมขี้ผึ้งหรือกาวยางไม้เข้าไปด้วยแล้วอัดเป็นแท่งในลักษณะของดินสอสี แต่มีเนื้อ ละเอียดกว่า แท่งใหญ่กว่า และมีราคาแพงกว่ามาก มักใช้ในการวาดภาพเหมือน
จงดี กากแก้ว (2548: ออนไลน์) กล่าวว่าแท่งชอล์ก ถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้กับกระดานดำ มีสีขาวตามความนิยมเพราะตัดกับสีดำมากที่สุด ปัจจุบันมีการพัฒนาเติมสีเพื่อการเขียนให้มีสีสัต่างๆ โดยชอล์กนั้นไม่ได้ทำมาจากหินชอล์ก แต่ทำมาจากยิปซัมและแป้งเพื่อทำให้สามารถติดอยู่บนพื้นกระดานได้
บรรจบ ศรีภา (2555: ออนไลน์) กล่าวว่า เครื่องเขียนกระดานดําชนิดหนึ่งที่เป็นสีขาวทําจากแคลเซียมซัลเฟต ซึ่งได้จากเกลือจืดหรือยิปซัมผสมนํ้า ที่มีสีอื่น ๆ ผสมด้วยดินสีหรือสีสําเร็จรูป
วิรุณ ตั้งเจริญ (2535: 86) กล่าวว่า ชอล์กมีลักษณะเป็นผงฝุ่นนำมาอัดเป็นแท่งไว้สำหรับขีดเขียน มีเนื้อหยาบ ชอล์กที่ใช้สำหรับเขียนกระดานดำส่วนมากจะมีสีขาว ส่วนชอล์กที่มีสีอื่นๆเรียกว่า ชอล์กสี ซึ่งจะมีเนื้อละเอียดกว่าชอล์กที่ใช้เขียนกระดาน
สรุป ลักษณะของชอล์กคือเป็นผงฝุ่นนำมาอัดเป็นแท่งถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้กับกระดานดำส่วนมากจะมีสีขาว
3. ประโยชน์ของชอล์ก
พิมพ์ฤทัย ชูแสงศรี (2555: 76-77) กล่าวถึงประโยชน์ของชอล์กไว้ดังนี้
1. ขจัดกลิ่นอับในตู้เสื้อผ้า เพื่อป้องกันกลิ่นอับและความชื้นที่อาจทำให้เสื้อผ้าขึ้นรา ให้ใส่ชอล์กหนึ่งมัดเอาไว้ในตู้เสื้อผ้าเพื่อช่วยดูดกลิ่นอับชื้นออกไป
2. ขจัดคราบบนเสื้อผ้า หากมีคราบเลอะบนเสื้อผ้า ลองใช้ชอล์กขีดลงบนคราบแล้วทิ้งไว้ 10 นาทีเพื่อดูดซับรอยเปื้อนออกไป จากนั้นปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้า ก่อนนำไปลงเครื่องซักตามปกติ
3. รักษาเครื่องเงินให้เงาวาว ความชื้นในตู้เก็บเครื่องเงินอาจทำให้เครื่องเงินหมองได้ เช่นเดียวกับตู้เสื้อผ้า ใส่ชอล์กไว้ในตู้เก็บเครื่องเงินเพื่อดูดความชื้น
4. ทำความสะอาดเครื่องดีบุก นำผงชอล์กผสมกับวอดก้าให้เป็นเนื้อครีม แล้วขัดบนเครื่องใช้ดีบุก จากนั้นล้างน้ำแล้วขัดอีกครั้ง
5. มาร์กตำแหน่งเฟอร์นิเจอร์ เวลาแต่งบ้านหรือจัดบ้านใหม่ให้ใช้ชอล์กขีดเขียนตำแหน่งที่จะวางเฟอร์นิเจอร์ไว้บนพื้น แล้วสามารถทำความสะอาดได้อย่างง่ายดายในภายหลัง
6. กล่องเครื่องมือช่างปลอดสนิม ใส่ชอล์กลงไปในกล่องอุปกรณ์ซ่อมของใช้เพื่อช่วยดูดความชื้นและป้องกันสนิม
7. สกัดกองทัพมดได้ด้วยการขีดกั้น อาณาเขตตามจุดต่างๆ ด้วยชอล์กที่มดไม่ชอบเดินข้าม
8. ป้องกันไขควงไม่ให้ลื่นหลุดมือ บางครั้งไขควงก็อาจจะลื่นหลุดจากมือในระหว่างขันน็อตได้ ลองถูมือด้วยผงชอล์กก่อนจับด้ามไขควงจะช่วยไม่ให้ไขควงลื่นหลุดมือ
จงดี กากแก้ว (2548: ออนไลน์) ได้กล่าวไว้ว่าของดีของชอล์กนั้น คือ
1. ใช้ได้ทุกเวลาและโอกาส ใช้ได้กับทุกขั้นตอนของการเรียนการสอน ตั้งแต่การนำเข้าสู่บทเรียน ใช้ประกอบการอธิบาย นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นที่แสดงผลงานของนักเรียน ใช้เป็น
จุดรวมความสนใจของนักเรียน ใช้เขียนคำสั่งมอบหมายงาน เฉลยการบ้าน ใช้เสนอหลักการ ข้อเท็จจริง ความคิด กระบวนการ จากสิ่งที่ง่ายไปสู่สิ่งที่สลับซับซ้อนเพื่อให้ผู้เรียนได้คิดวิเคราะห์
2. สามารถเขียนและลบได้ง่าย ถึงแม้ว่าจะเขียนทิ้งไว้นานก็สามารถลบได้ง่าย
3. ผู้เรียนสามารถมองเห็นได้พร้อมกันทั้งชั้น
4. เสนอเรื่องราวหรือเนื้อหาได้ทันทีทันใด
5. ใช้ได้คงทนถาวร เสียหายได้ยาก
6. ใช้ได้ทั้งครูและนักเรียน
7. ประหยัดค่าใช้จ่าย
8. ช่วยทำให้ประสบการณ์นามธรรมให้เป็นรูปธรรม
9. ใช้สำหรับเขียนภาพประกอบการอธิบาย และใช้เป็นที่แสดงสัญลักษณ์
10. ไม่เปลืองไฟฟ้า
เทพ เชียงทอง (2545: 143) กล่าวว่า ชอล์กเขียนกระดานดำนั้นช่วยดูแลเครื่องใช้ในบ้านได้ ขจัดกลิ่นอับในตู้เสื้อผ้า โดยให้ใส่ชอล์กหนึ่งมัดเอาไว้ในตู้เสื้อผ้าเพื่อช่วยดูดกลิ่นอับชื้นออกไป และสามารถขจัดคราบบนเสื้อผ้า โดยการใช้ชอล์กขีดลงบนคราบแล้วทิ้งไว้ 10 นาทีเพื่อดูดซับรอยเปื้อนออกไป จากนั้นปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้า ก่อนนำไปลงเครื่องซักตามปกติ รักษาเครื่องเงินให้เงาวาว ให้ใส่ชอล์กไว้ในตู้เก็บเครื่องเงินเพื่อดูดความชื้น ทำความสะอาดเครื่องดีบุก โดยนำผงชอล์กผสมกับวอดก้าให้เป็นเนื้อครีม แล้วขัดบนเครื่องใช้ดีบุก จากนั้นล้างน้ำแล้วขัดอีกครั้ง มาร์กตำแหน่งเฟอร์นิเจอร์ กล่องเครื่องมือช่างปลอดสนิม ไล่มด และแก้ปัญหาไขควงไม่ลื่นหลุดมือโดยก่อนใช้ไขควงให้ถูมือด้วยผงชอล์กก่อน จะสามารถแก้ป้ญญามือลื่นได้
สุชาติ เถาทอง (2532: 169-170) กล่าวว่า ชอล์กมีไว้สำหรับขีดเขียน ใช้ในการเรียน
การสอน ตามโรงเรียนในต่างจังหวัดจะมีการใช้ชอล์กเขียนกระดานกันอย่างแผ่หลาย เนื่องจากชอล์กมีราคาถูกกว่าอุปกรณ์เขียนกระดานชนิดอื่นๆ และยังสามารถหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดทั่วไป [509-42]
สรุป ประโยชน์ของชอล์กคือใช้สำหรับเขียนภาพประกอบการอธิบาย และใช้เป็นที่แสดงสัญลักษณ์ ใช้เขียนกระดาน มีราคาถูกกว่าอุปกรณ์เขียนกระดานชนิดอื่นๆ และยังสามารถหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดทั่วไป
4. ส่วนประกอบของชอล์ก
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 (2546: 349) กล่าวว่า ชอล์กทําจาก แคลเซียมซัลเฟต ซึ่งได้จากเกลือจืดหรือยิปซัมผสมนํ้า ที่มีสีอื่น ๆ ผสมด้วยดินสีหรือสีสําเร็จรูป
ชาติ ประชาชื่น (2551: 24) กล่าวว่า ชอล์ค (Chalk) คือหินปูนชนิดหนึ่ง ประกอบด้วยสารแคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3) เกิดจากเปลือกหอยในทะเลทับถมกันนานๆ
เพชรอาภรณ์ พูนพิน (2552: ออนไลน์) กล่าวว่า ชอล์กเขียนกระดานดำ ทำจากแร่ยิปซัม หรือเกลือจืด ซึ่งเป็นแคลเซียมซัลเฟตที่ใช้ทำปูนปลาสเตอร์ นำมาอัดเป็นแท่ง เกลือจืดเป็น
ผลึกสารแคลเซียมซัลเฟต ที่เหลืออยู่ในนาเกลือหลังจากที่ตักเกลือออกไปจนหมดแล้ว เกลือจืดจะเกาะตัวกันเป็นแผ่นแข็งอยู่ติดกับดิน เมื่อจะทำนาเกลือใหม่จะต้องขุดเอาเกลือจืดออกเสียก่อน เพื่อปรับสภาพดินแล้วปล่อยน้ำทะเลเข้าไปใหม่ เกลือจืดเป็นสารที่ไม่ละลายน้ำ ใช้ทำประโยชน์ได้หลายอย่าง เช่น ทำแป้งนวล ทำชอล์ก ทำปูนปลาสเตอร์ เป็นต้น
อัศนีย์ ชูอรุณ (2530: 56) กล่าวว่า ชอล์กที่ใช้เขียนกระดานมีส่วนผสมของปูนปลาสเตอร์ซึ่งทำมาจากยิปซัม (Gypsum) ประกอบด้วย แคลเซียมซัลเฟตไดไฮเดรต (CaSO4+2H2O) และเนื่องจากมีความแข็งน้อยมาก จึงสามารถใช้ขีดเขียนได้
สรุป ส่วนประกอบของชอล์กส่วนมากจะผสมด้วยปูนปลาสเตอร์ แคลเซียมซัลเฟต ซึ่งได้จากเกลือจืดหรือยิปซัมผสมนํ้าและผสมด้วยดินสีหรือสีสําเร็จรูป
5. ประวัติของชอล์ก
ศัพยา ชัยยุทธ์ (2553: ออนไลน์) ตามหลักฐานทางโบราณคดีพบว่าเราใช้ ชอล์ก (chalk) กันตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ภาพเขียนสีภายในถ้ำตามที่ต่างๆ ทั่วโลกล้วนแต่บ่งบอกได้เป็นอย่างดี ชอล์กเริ่มเดินทางเข้ามาเมืองไทยในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือประมาณ 70 ปีที่แล้วโดยคนญี่ปุ่น แล้วเราต้องสั่งซื้อชอล์กจากญี่ปุ่นเข้ามาใช้ด้วย
นิด ชัยวงศ์ (2553: 54) กล่าวว่า สีชอล์ค เป็นสีฝุ่นผงละเอียดบริสุทธิ์นำมาอัดเป็นแท่ง ใช้ในการวาดภาพ มากว่า 250 ปีแล้ว ปัจจุบัน มีการผสมขี้ผึ้งหรือกาวยางไม้เข้าไปด้วยแล้วอัดเป็นแท่งในลักษณะของดินสอสี แต่มีเนื้อ ละเอียดกว่า แท่งใหญ่กว่า และมีราคาแพงกว่ามาก มักใช้ในการวาดภาพเหมือน การสร้างงานด้วยสีชอล์คน้ำมัน มักจะมีการระบายทับซ้อน ประมาณ 2 – 3 ชั้น เพื่อให้เกิดการผสมผสานสีใหม่ หรือการไล่โทนสีอย่างกลมกลืน
ทวีเดช จิ๋วบาง (2536: 131) กล่าวว่า ชอล์กเริ่มมีใช้ในห้องเรียนนับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นยุคที่การศึกษาเริ่มแพร่หลาย ตอนนั้นขนาดของห้องเรียนขยายใหญ่ขึ้นแสดงถึงจำนวนนักเรียนที่เพิ่มสูงขึ้น และคุณครูต้องการที่จะสื่อสารข้อมูลผ่านไปยังนักเรียนจำนวนมากในคราวเดียวกัน จึงมีการผลิตชอล์กและกระดานดำ (Black Board) ขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารระหว่างครูและนักเรียน
ดินหิน รักพงษ์อโศก (2549: ออนไลน์) กล่าวว่า ชอล์กมีประวัติยาวนานมากว่า 500 ปีแล้ว แต่เดิมจะเป็นผงชอล์กต่อมาอีก 300 กว่าปีให้หลังมานี้จึงมีการผสมกาวที่ทำจากยางไม้ให้จับเป็นแท่ง ในยุคแรกๆ จะนิยมเขียนเพียง 3 สีคือ สีดำ สีแดง และ สีขาว
สรุป ประวัติของชอล์กประวัติยาวนานมากว่า 500 ปี หรือสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เข้ามาเมืองไทยในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และในยุคแรกๆ จะนิยมเขียนเพียง 3 สีคือ สีดำ สีแดง และสีขาว
6. ขั้นตอนการผลิตชอล์ก
ธนวัตร ชัยชนะ (2555: ออนไลน์) กล่าวว่า การผลิตชอล์กมีส่วนประกอบได้แก่ สารช่วยยึดเกาะ ดินขาว ตัวเติม และน้ำ มีการปรับปรุงคุณสมบัติในการนำมาใช้เขียนและแหล่งวัตถุดิบที่ โดยใช้ CM-cellulose เป็นสารช่วยยึดเกาะ และวัสดุเหลือทิ้งจากอุตสาหกรรมพอร์ซเลน ใช้ตัวเติมคือซิลิคอนและอลูมิเนียมออกไซด์ อัตราส่วนคือวัสดุเหลือทิ้งจากอุตสาหกรรมพอร์ซเลน 50-58% ดินขาว 17.5-28.75% CM-cellulose 0.25-0.5% และน้ำ 21-24% โดยน้ำหนัก
ชาติ ประชาชื่น (2551: 24) กล่าวว่าชอล์กเขียนกระดานดำ ทำจากแร่ยิปซัม หรือเกลือจืด ซึ่งเป็นแคลเซียมซัลเฟตที่ใช้ทำปูนปลาสเตอร์ นำมาอัดเป็นแท่งเกลือจืดเป็นผลึกสารแคลเซียมซัลเฟต ที่เหลืออยู่ในนาเกลือหลังจากที่ตักเกลือออกไปจนหมดแล้ว เกลือจืดจะเกาะตัวกันเป็นแผ่นแข็งอยู่ติดกับดิน เมื่อจะทำนาเกลือใหม่จะต้องขุดเอาเกลือจืดออกเสียก่อน เพื่อปรับสภาพดินแล้วปล่อยน้ำทะเลเข้าไปใหม่เกลือจืดเป็นสารที่ไม่ละลายน้ำ ใช้ทำประโยชน์ได้หลายอย่าง เช่น ทำแป้งนวล ทำชอล์กทำปูนปลาสเตอร์ เป็นต้น การทำเกลือจืดนั้น ต้องนำเกลือจืดที่ได้มาแช่น้ำทิ้ง ไว้ประมาณ 8-10 วัน เพื่อให้เกลือที่ติดอยู่ละลายน้ำหมดไป ปล่อยน้ำทิ้งแล้วนำเกลือจืดมาคั่วบนกระทะใช้ไฟปานกลางนาน ประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ต้องคอยคนอยู่ตลอดเวลา ถ้าคั่วนานเกินไปจะใช้ไม่ได้การสังเกตว่าได้ที่หรือยัง ใช้วิธีตักก้อนเกลือจืดที่คั่ว แล้วมาทุบดู ถ้าแตกเป็นผงละเอียดมีสีขาว แล้วละลายน้ำเป็นเนื้อละเอียดก็ใช้ได้ เมื่อคั่วได้ที่แล้วจะมีสีขาว กลายเป็นปูนปลาสเตอร์ ถ้านำมาอัดแท่งโดยการผสมน้ำเล็กน้อยแล้วตากแดดก็จะกลายเป็นชอล์กส่วนวิธีการอัดแท่งมีผู้แนะนำว่าให้ใช้หลอดฉีดยาอันเล็กๆ ที่ตัดหัวทิ้งแล้วอัดเนื้อชอล์กให้แน่นๆ จากนั้นค่อยดันออกมาจะได้แท่งชอล์ก
เพชรอาภรณ์ พูนพิน (2552: ออนไลน์) กล่าวว่า การเตรียมอุปกรณ์ในการผลิตชอล์กสามารถทำได้โดยใช้ถุงแกงขนาดประมาณ 5×7 นิ้ว ตัดก้นถุงออก ตัดกระดาษนิตยสารกะให้ขนาดใกล้เคียงกับถุง แล้วสอดเข้าไปในถุง กระดาษจะช่วยให้ถุงพลาสติกเรียบแข็งเป็นทรงและม้วนง่าย ม้วนให้เป็นทรงตามแกนทิชชู่ ใช้สก๊อตเทปยึดติด ใช้พลาสติกถนอมอาหาร รองที่ก้นของแกนทิชชู่ มัดทับด้วยหนังยาง จากนั้นตักปูนพลาสเตอร์ประมาณ 3/4 ถ้วย ใส่ในถ้วยผสมที่เตรียมไว้ เทน้ำประมาณ 1 1/2 ถ้วยลงไป แล้วคนเบาๆ ด้วยความรวดเร็ว หากคนช้าปูนจะแข็งเทไม่ออก ผสมจนเป็นเนื้อเดียวกันและให้ได้ความข้นประมาณซอสมะเขือเทศ หากเหลวไปให้เติมปูนพลาสเตอร์ จากนั้นบีบสี Tempera ลงไป คนให้เข้ากันแล้วเทลงแม่พิมพ์ แล้วทิ้งไว้ให้แห้ง2-3 ชั่วโมง
ชำนาญ ทองเกียรติกุล (2555: 76) กล่าวว่า วิธีการผลิตชอล์กสามารถทำได้โดย นำปูนปลาสเตอร์ผสมกับดินสอพองคลุกเคล้าให้ทั่ว อย่างละเท่าๆกัน เติมน้ำเล็กน้อยและคลุกเคล้าส่วนผสมให้เข้ากันได้ จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดมาหยอดใส่แม่พิมพ์ไปก่อนเล็กน้อย และรอจนแห้งเพื่อจะได้เป็นฐาน เมื่อแห้งดีแล้วเทส่วนผสมเข้าไปเติมใหม่ ความยาวแล้วแต่ชอบ หากมีฟองอากาศระหว่างนั้นให้ใช้ตะเกียบอัดให้แน่น นำไปตากแดดจนส่วนผสมแข็งเป็นแท่ง จะได้ชอล์กที่นำมาใช้ขีดเขียนได้
สรุป ขั้นตอนการผลิตชอล์กมีหลากหลายแบบดังนี้
1. ชอล์กเขียนกระดานดำ ทำจากแร่ยิปซัม หรือเกลือจืด ซึ่งเป็นแคลเซียมซัลเฟตที่ใช้ทำ
ปูนปลาสเตอร์ นำมาอัดเป็นแท่ง
2. นำปูนปลาสเตอร์ผสมกับดินสอพองคลุกเคล้า จากนั้นบีบสี Tempera ลงไปคนให้
เข้ากันแล้วเทลงแม่พิมพ์นำไปตากแดดจนส่วนผสมแข็งเป็นแท่ง จะได้ชอล์กที่นำมาใช้ขีดเขียนได้
7. อันตรายของชอล์ก
จันทร์เพ็ญ ชูประภาวรรณ (2540: 48-49) ถึงแม้ฝุ่นละอองทุกชนิดแม้ไม่ได้เป็นสารก่อภูมิแพ้ แต่ถ้ามีปริมาณมากก็จะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุทางเดินหายใจได้ จึงจัดเป็นสารระคาย ซึ่งแม้คนที่ไม่ได้เป็นโรคภูมิแพ้ หากหายใจเอาสารระคายเหล่านี้เข้าไปมากพอก็จะทำให้เกิดอาการ เช่น คัน จาม หรือไอได้
กำจัด รามกุล (2551: ออนไลน์) กล่าวว่า สำหรับการใช้ชอล์กเขียนกระดานในประเทศไทย ยังไม่มีการศึกษาเรื่องฝุ่นจากผงชอล์กโดยเฉพาะ ดังนั้นจึงไม่ทราบขนาดของฝุ่นดังกล่าวอย่างชัดเจน แต่เชื่อว่าคงมีขนาดใหญ่กว่า 0.5 – 5 ไมครอน ซึ่งช่วงขนาดดังกล่าวนี้ถือว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยร่างกายไม่สามารถกรองหรือขับออกได้ แม้ว่าผงชอล์กมีขนาดใหญ่กว่าขนาดที่เป็นอันตรายกับสุขภาพ แต่เนื่องจากผงชอล์กมีส่วนประกอบจากแคลเซียมและหินปูนการสูดดมในระยะยาวจะทำให้มีผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ เกิดการระคายเคืองหลอดลมอักเสบ
พรชัย สังเวียนวงศ์ (2551: 28) กล่าวว่า ฝุ่นชอล์กมีส่วนประกอบของโปรตีน ซึ่งเป็นสาเหตุในการเกิดโรคภูมิแพ้ ถึงแม้ว่าฝุ่นชอล์กจะไม่ได้ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้โดยตรง แต่ถ้าหากสะสมในร่างกายปริมาณมากจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ ที่เป็นโรคภูมิแพ้อยู่แล้ว เช่น เป็นโรคแพ้อากาศ (จมูกอักเสบจากภูมิแพ้) หรือหอบหืด การได้รับสารระคายเหล่านี้จะทำให้มีอาการเกิดขึ้นคล้ายกับที่ได้รับสารภูมิแพ้เข้าไปหรือถ้ามีอาการอยู่แล้วก็จะเป็นมากขึ้น
ฉวีวรรณ บุนนาค (2540: ออนไลน์) กล่าวว่า ชอล์กเขียนกระดานที่ใช้กันในปัจจุบันมีอันตราย โดยเฉพาะฝุ่นของชอล์ก ซึ่งในฝุ่นชอล์ก เป็นสารเคมีที่มีโมเลกุลเล็ก และไม่มีส่วนประกอบของโปรตีน ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของสารก่อภูมิแพ้ และจากการที่เคยทดสอบผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ กับน้ำยาสกัดจากฝุ่นชอล์ก พบว่า ไม่ทำให้เกิดปฏิกิริยาใดๆ ดังนั้นฝุ่นชอล์กจึงไม่ใช่สารก่อภูมิแพ้โดยตรง แต่ฝุ่นละอองทุกชนิดแม้ไม่ได้เป็นสารก่อภูมิแพ้ แต่ถ้ามีปริมาณมากก็จะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุทางเดินหายใจได้ จึงจัดเป็นสารระคาย ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยง
สรุป อันตรายของชอล์กคือส่วนมากเกิดจากฝุ่นของชอล์ก ซึ่งในฝุ่นชอล์กเป็นสารเคมีที่มีโมเลกุลเล็ก และไม่มีส่วนประกอบของโปรตีน ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของสารก่อภูมิแพ้ แต่ถ้ามีปริมาณมากก็จะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุทางเดินหายใจได้ และซึ่งแม้คนที่ไม่ได้เป็นโรคภูมิแพ้ หากหายใจเอาสารระคายเห่านี้เข้าไปมากพอก็จะทำให้เกิดอาการ เช่น คัน จาม หรือไอได้
แป้งข้าวเจ้า
1. ความหมายของแป้งข้าวเจ้า
สิริกัญญา บุญช่วย (2539: 12) แป้งข้าวเจ้า หรือ แป้งญวน เป็นแป้งที่ทำมาจากข้าว เป็นแป้งที่ใช้มากที่สุดในการทำขนมไทย ในสมัยก่อนใช้แป้งสดที่โม่จากข้าวสารแช่น้ำค้างคืน นำแป้งที่ได้จากการโม่มาทับน้ำออก ก็จะได้แป้งที่พร้อมนำไปทำขนม ปัจจุบันนิยมใช้แป้งแห้งที่ผลิตจากโรงงาน
นิธิยา รัตนาปนนท์ (2555: ออนไลน์) กล่าวว่า แป้งข้าวเจ้า (Rice Flour) ได้มาจากข้าวสารที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี่เอง ใช้ในการทำขนมไทยเยอะมา ว่าจะเป็นขนมเบื้อง ถ้วยฟู ขนมกล้วย ขนมที่ทำจากแป้งข้าวเจ้าเนี่ยจะแอบมีความวาวอยู่ ผิวของขนมจะมันวาวนิดๆ ซึ่งนั่นเป็นคุณสมบัติพิเศษของแป้งข้าวเจ้า
สมเกียรติ ฐิตะฐาน (2536: 96-97) กล่าวว่าแป้งข้าวเจ้า หรือ แป้งญวน เป็นแป้งที่ทำมาจากข้าว เป็นแป้งที่ใช้มากที่สุดในการทำขนมไทย ในสมัยก่อนใช้แป้งสดที่โม่จากข้าวสารแช่น้ำค้างคืน นำแป้งที่ได้จากการโม่มาทับน้ำออก ก็จะได้แป้งที่พร้อมนำไปทำขนม ปัจจุบันนิยมใช้แป้งแห้งที่ผลิตจากโรงงาน เนื้อแป้งข้าวเจ้ามีลักษณะสากมือ เป็นผงหยาบกว่าแป้งสาลี
แป้งข้าวเจ้า หมายถึง แป้งที่ได้จากข้าวเจ้าขาว ซึ่งข้าวเจ้าขาวหมายถึง ข้าวที่เป็นเมล็ดเต็มต้นข้าว ข้าวหักใหญ่ ข้าวหักหรือปลายข้าว ที่ได้จากการสีข้าวเปลือกเจ้าของพืชที่มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า ออไรซา ซาไตวา แอล (Oryza sativa L.) (กล้าณรงค์ ศรีรอด และเกื้อกูล ปิยะจอมขวัญ, 2546: 188-203)
สรุป ความหมายของแป้งข้าวเจ้า (Rice Flour) คือ แป้งที่ได้จากข้าวเจ้าขาว หรือ แป้งญวน เป็นแป้งที่ใช้มากที่สุดในการทำขนมไทย
2. ลักษณะของแป้งข้าวเจ้า
อบเชย อิ่มสบาย (2545: 5) กล่าวว่า แป้งข้าวเจ้ามีลักษณะมีสีขาว สากมือ เป็นผงหยาบกว่าแป้งสาลี
สมชาย เทพาดิเทพพัน (2556: 58-60) กล่าวว่า แป้งข้าวเจ้า (Rice Flour) จะมีสีขาวนวลจับแล้วลื่นมือ มีลักษณะจับแล้วสากมือเล็กน้อย
สิริกัญญา บุญช่วย (2539: 12) กล่าวว่า เนื้อแป้งข้าวเจ้ามีลักษณะสากมือ เป็นผงหยาบกว่าแป้งสาลี
เบญจมาศ ศิลาย้อย (2538: 11) กล่าวว่า เป็นแป้งที่ทำจากเมล็ดข้าวเจ้า มีลักษณะเป็นผงมีสีขาวป่นละเอียดจับแล้วสากมือเล็กน้อย เมื่อทำให้สุกจะมีลักษณะขุ่นร่วน
สรุป แป้งข้าวเจ้ามีลักษณะมีสีขาวนวล เป็นผงหยาบ จับแล้วสากมือเล็กน้อย
3. ชนิดของแป้งข้าวเจ้า
ศรีสมร คงพันธุ์ (2554: ออนไลน์) กล่าวว่า แป้งข้าวเจ้ามี 2 ชนิดคือ แป้งข้าวเจ้าชนิดแห้งและเป็นแป้งป่นละเอียดมาก ขาวสะอาด บรรจุในถุงพลาสติก ผลิตโดยโรงงานอุตสาหกรรม อีกชนิดหนึ่งคือชนิดเปียก ชนิดนี้ทำขายวันต่อวัน ถ้าค้างคืนจะเหม็นบูด บด ถ้าแห้งที่ออกมายังหยาบจะโม่หรือบดซ้ำใหม่อีกจนกว่าจะได้แห้งที่ละเอียดกรองด้วยถุงผ้า มัดปากถุงให้แน่นแล้วทับให้สะเด็ดน้ำ จะได้แป้งข้าวเจ้าชนิดเปียก
อบเชย อิ่มสบาย (2545: 5) กล่าวว่า แป้งข้าวเจ้ามี 2 ชนิด คือ แป้งข้าวเจ้าสดและแป้งข้าวเจ้าแห้ง แต่ปัจจุบันหาซื้อได้แต่แป้งข้าวเจ้าแห้ง แป้งสดหาซื้อได้ยาก แต่มีวิธีทำโดยนำข้าวสารล้าง แล้วแช่ค้างคืน และนำมาโม่ให้ละเอียด ทับน้ำออกแล้วจะได้แป้งสด
ศรีสมร คงพันธุ์ (2554: ออนไลน์) กล่าวว่า ปัจจุบันแป้งข้าวเจ้าที่ขายกันตามท้องตลาดมี 2 ชนิดคือ แป้งข้าวเจ้าชนิดแห้งและเป็นแป้งป่นละเอียดมาก ขาวสะอาด บรรจุในถุงพลาสติก ผลิตโดยโรงงานอุตสาหกรรม อีกชนิดหนึ่งคือชนิดเปียก ชนิดนี้ทำขายวันต่อวัน ถ้าค้างคืนจะเหม็นบูด บางคนที่ทำขนมขายเป็นอาชีพมักจะทำแป้งข้าวเจ้าใช้เอง คือแช่ข้าวสารหรือปลายข้าง ซึ่งเลือกและล้างสะอาดแล้วในน้ำพอท่วมประมาณ 2-3 ชั่วโมง แล้วบดให้ละเอียดด้วยโม่หินหรือเครื่องบด ถ้าแห้งที่ออกมายังหยาบจะโม่หรือบดซ้ำใหม่อีกจนกว่าจะได้แห้งที่ละเอียดกรองด้วยถุงผ้า มัดปากถุงให้แน่นแล้วทับให้สะเด็ดน้ำ จะได้แป้งข้าวเจ้าชนิดเปียก ในการทำขนมจะต้องเติมน้ำลงไปในแป้ง และนวดจนกว่าจะได้ลักษณะของแป้งตามต้องการที่ใช้ทำขนมชนิดนั้นๆ
สิริกัญญา บุญช่วย (2539: 12-13) กล่าวว่า แป้งข้าวเจ้าในชีวิตประจำวันของเรามีอยู่ 2 ชนิดคือ แป้งข้าวเจ้าเปียก และแป้งข้าวเจ้าแห้ง
สรุป แป้งข้าวเจ้าแบ่งออกเป็น2 ชนิด คือ แป้งข้าวเจ้าสดและแป้งข้าวเจ้าแห้ง ปัจจุบันแป้งข้าวเจ้าแห้งหาซื้อได้ง่ายกว่า ส่วนแป้งข้าวเจ้าสดต้องทำเอง
4. ประโยชน์ของแป้งข้าวเจ้า
พิภพ จิรภิญโญ (2552: ออนไลน์) กล่าวว่า น้ำตาลโปรตีนต่ำจากแป้งข้าวเจ้า สามารถรักษาทารกแพ้โปรตีนจากนมทุกชนิด ต่อยอดการผลิตนมรักษาทารกแพ้โปรตีนจากนมเนื้อไก่แทนนมวัว โดยยังคงคุณค่าสารอาหารครบถ้วน ย่อยง่าย และดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังผลิตเป็นน้ำดื่มเกลือแร่รักษาโรคท้องร่วงและเครื่องดื่มนักกีฬาได้ด้วย
วาทิต วงศ์สุรไกร (2556: 120) กล่าวว่าแป้งข้าวเจ้า (Rice flour) เป็นส่วนผสมของอาหารที่คนไทยรู้จักกันมาอย่างช้านานในปัจจุบันนี้มีการนำมาดัดแปลงและพัฒนา ในอุตสาหกรรมต่างๆ มากมาย ที่มีคุณประโยชน์เช่น อุตสาหกรรม นม ยา หรือการนำไปเพื่อผลิตเป็น วัสดุสิ่งของต่างๆ ในปัจจุบันนี้ ประโยชน์ของแป้งข้าวเจ้า (Rice flour) นั้นจะมีอีกหลายประเภท ที่มีความต้องการในท้องตลาด ซึ่งยังหมายถึงการนำไปผลิตเป็น นมสำหรับทารกที่แพ้นม และยังไปทำเป็นเครื่องสำอางต่างๆ อีกมากมาย
เบญจมาศ ศิลาย้อย (2538: 11) กล่าวว่า เป็นแป้งที่ทำจากเมล็ดข้าวเจ้า ถ้าทิ้งให้เย็นจะอยู่ตัวเป็นก้อนร่วนไม่ถึงกับเหนียวหนึบ และไม่ถึงกับร่วนฟูเป็นเนื้อทราย จึงเหมาะที่จะประกอบอาหาร ที่ต้องการความอยู่ตัวร่วนไม่เหนียวหนืด เช่น ขนมขี้หนู ขนมตาล ขนมกล้วย ขนมน้ำดอกไม้ ตะโก้ เส้นขนมจีน สมัยก่อนนิยมโม่กันเอง โดยล้างข้าวสารก่อน แช่ข้าว โดยใส่น้ำให้ท่วมแช่จนข้าวนุ่ม จะโม่ง่าย ในปัจจุบันนิยมบดด้วยเครื่องบดไฟฟ้าบดให้ละเอียดแล้วจึงห่อผ้าขาวบางทับน้ำทิ้งจะได้แป้งข้าวเจ้าเรียกแป้งสด
แป้งข้าวเจ้าเป็นแป้งชนิดหนึ่งที่นิยมใช้ในการทําขนมไทย และอาหารคบเคี้ยวโดยใช้เป็นส่วนประกอบหลักในตัวผลิตภัณฑ์ ขนมหลายชนิดที่ทําจากแป้งจะมีลักษณะ หรือคุณภาพเป็นไปตามการพองตัว ความข้นใสของเม็ดแป้งเป็นสําคัญ (กล้าณรงค์ ศรีรอด และเกื้อกูล ปิยะจอมขวัญ, 2546: 188-203)
สรุป ประโยชน์ของแป้งข้าวเจ้า คือเป็นแป้งที่ทำจากเมล็ดข้าวเจ้า ถ้าทิ้งให้เย็นจะอยู่ตัวเป็นก้อนร่วนไม่ถึงกับเหนียวหนึบ และไม่ถึงกับร่วนฟูเป็นเนื้อทราย จึงเหมาะที่จะประกอบอาหาร ซึ่งยังหมายถึงการนำไปผลิตเป็น นมสำหรับทารกที่แพ้นม และยังไปทำเป็นเครื่องสำอางต่างๆ อีกมากมาย
5. กรรมวิธีในการผลิตแป้งข้าวเจ้า
พิมพ์เพ็ญ พรเฉลิมพงศ์ (2552: ออนไลน์) กล่าวว่า กรรมวิธีการผลิตมี 3 วิธี คือ วิธีโม่แห้ง วิธีโม่น้ำ และวิธีผสม
1. การผลิตแป้งข้าวด้วยการโม่แห้ง ได้จากการนำข้าวมาทำความสะอาด (cleaning) เพื่อแยกสิ่งสกปรกออก แล้วจึงนำไปบดเป็นแป้งจะมีคุณภาพต่ำ เพราะเม็ดแป้งค่อนข้างหยาบและมีสิ่งเจือปนสูง อายุการเก็บรักษาสั้น เพราะเกิดกลิ่นหืน (rancidity) ได้ง่าย เพราะมีปริมาณไขมันสูง และถูกทำลายจากแมลงได้ง่าย
2. การผลิตแป้งข้าวด้วยวิธีการโม่น้ำเป็นวิธีการผลิตแป้งข้าวในปัจจุบัน แป้งที่ได้มีคุณภาพดี มีความละเอียดและมีสิ่งเจือปนน้อย เทคโนโลยีการผลิตแป้งโดยวิธีการโม่น้ำได้รับการพัฒนามาช้านาน การผลิตแป้งในปัจจุบันยังคงมุ่งเน้นแป้งข้าวเจ้าชนิดอะไมโลส (amylose) สูง
3. การผลิตแป้งข้าววิธีผสม เป็นการโม่แป้งจากข้าวที่แช่ในน้ำและอบแห้งด้วยความร้อนก่อนโม่เป็นแป้ง แป้งชนิดนี้เป็นแป้งคุณภาพสูงและนำไปใช้ทำขนมเฉพาะอย่าง เช่น ขนมโก๋จากแป้งข้าวเหนียว
สมชาย เทพาดิเทพพัน (2556: 58-60) ในการผลิตแป้งข้าวเจ้านั้นจะมีกรรมวิธีการผลิตอยู่ 3 แบบก็คือ การโม่น้ำหรือโม่เปียก การโม่แห้ง และการโม่แบบผสม โดยมีวิธีการผลิตดังนี้
1. การโม่น้ำหรือโม่เปียก นำข้าวสารไปทำความสะอาดเพื่อเป็นการแยกสิ่งสกปรกออกแล้วนำเข้าเครื่องล้างข้าวอีกครั้ง หลังจากนั้นให้นำข้างไปแช่ไว้ในถังแช่ข้าว เมื่อข้างเริ่มอิ่มน้ำเต็มที่จึงนำข้าวมาโม่ที่เครื่องโม่ข้าว การโม่แป้งข้าววิธีนี้นั้นจะเป็นวิธีที่นิยมกันอย่างมากในปัจจุบัน เพราะแป้วข้าวที่ได้จากกรรมวิธีนี้นั้นจะเป็นแป้งข้าวที่มีความละเอียดสูง และมีสิ่งเจือปนอยู่ในแป้งข้าวน้อย แป้งข้าวที่ได้นั้นยังมีความละเอียดที่ค่อนข้างสูง
2. การโม่แห้ง นำข้าวสารไปทำความสะอาดเสียก่อน เพื่อการนำเอาสิ่งสกปรก ฝุ่นละอองต่างๆออกไปเพื่อทำให้ข้าวที่ต้องการจะใช้มีความสะอาดยิ่งขึ้น แล้วจึงนำข้าวที่ทำความสะอาดแล้วไปบดให้มีความละเอียด แต่แป้งที่ได้จากกรรมวิธีแบบนี้นั้น จะเป็นแป้งข้าวเจ้าที่จะมีคุณภาพต่ำที่สุด เพราะว่าเม็ดแป้งที่ได้นั้นจะค่อนข้างมีความหยาบและจะมีสิ่งเจือป่นอยู่ในแป้งข้าวที่ได้สูง การเก็บรักษานั้นจะมีระยะเวลาที่สั้น และเกิดกลิ่นเหม็นหืนได้ง่าย
3. การโม่แบบผสม นำข้าวสารไปทำความสะอาดเพื่อแยกสิ่งสกปรกออก และนำไปเข้าเครื่องล้างข้าว นำข้าวไปแช่ในถังแช่ข้าว เมื่อข้าวได้ที่แล้วจึงนำข้าวไปเพื่ออบให้แห้ง หลังจากข้าวแห้งแล้วจึงค่อยนำข้าวไปโม่ การโม่ข้าวด้วยวิธีนี้นั้นแป้งที่ได้จะมีคุณภาพที่สูง และแป้งที่ได้ยังสุกแล้วอีกด้วย แป้งชนิดนี้จึงค่อนข้างนิยมนำไปทำขนมไทยต่างๆ
นิธิยา รัตนาปนนท์ (2555: ออนไลน์) กล่าวว่า กรรมวิธีการผลิตมี 3 วิธี คือ วิธีโม่แห้งวิธีโม่น้ำและวิธีผสม การผลิตแป้งข้าวด้วยการโม่แห้ง ได้จากการนำข้าวมาทำความสะอาด (cleaning) เพื่อแยกสิ่งสกปรกออก แล้วจึงนำไปบด เป็นแป้งจะมีคุณภาพต่ำ เพราะเม็ดแป้งค่อนข้างหยาบและมีสิ่งเจือปนสูง อายุการเก็บรักษาสั้น เพราะเกิดกลิ่นหืน (rancidity) ได้ง่ายเพราะมีปริมาณไขมันสูง และถูกทำลายจากแมลงได้ง่าย การผลิตแป้งข้าวด้วยวิธีการโม่น้ำเป็นวิธีการผลิตแป้งข้าวในปัจจุบัน แป้งมีคุณภาพดี มีความละเอียดและสิ่งเจือปนน้อย เทคโนโลยีการผลิตแป้งโดยวิธีการโม่น้ำได้รับการพัฒนามาช้านาน การผลิตแป้งในปัจจุบันยังคงมุ่งเน้นแป้งข้าวเจ้าชนิดอะไมโลส (amylose) สูง การผลิตแป้งข้าววิธีผสม เป็นการโม่แป้งจากข้าวที่แช่น้ำและอบแห้งด้วยความร้อนก่อนโม่เป็นแป้ง แป้งชนิดนี้เป็นแป้งคุณภาพสูงและนำไปใช้ทำขนมเฉพาะอย่าง เช่น ขนมโก๋จากแป้งข้าวเหนียว
วิไล ปาละวิสุทธิ์ (2549: ออนไลน์) แป้งข้าวเจ้ามีกรรมวิธีการผลิต 3 วิธี คือ วิธีโม่แห้ง (Dry Milling) วิธีโม่น้ำหรือโม่เปียก (Wet Milling) และวิธีผสม (Wet and Dry Milling) แป้งที่ได้จากการโม่แห้งมีคุณภาพต่ำ เพราะผงแป้งค่อนข้างหยาบและมีสิ่งเจือปนสูง อายุการเก็บรักษาสั้น เพราะเกิดกลิ่นหื่นและถูกทำลายจากแมลงได้ง่าย สำหรับวิธีการโม่น้ำหรือโม่เปียก เป็นวิธีการผลิตแป้งที่แพร่หลายในปัจจุบัน แป้งมีคุณภาพดี มีความละเอียดและสิ่งเจือปนน้อย พันธุ์ข้าวไทยดั้งเดิม ส่วนใหญ่มีอมิโลสสูง ดังนั้นแป้งที่ผลิตจึงเป็นแป้งข้าวที่มีอมิโลสสูง การผลิตแป้งข้าววิธีผสมแป้งชนิดนี้เป็นแป้งคุณภาพสูงและสุกแล้ว นิยมนำไปทำขนมเฉพาะอย่างเช่น ขนมโก๋จากแป้งข้าวเหนียว
สรุป กรรมวิธีในการผลิตแป้งข้าวเจ้ามีกรรมวิธีการผลิต 3 วิธี
1. การโม่น้ำหรือโม่เปียก แป้งมีคุณภาพดี เป็นวิธีการผลิตแป้งที่แพร่หลายในปัจจุบัน
2. การโม่แห้ง แป้งจะมีคุณภาพต่ำเพราะผงแป้งค่อนข้างหยาบและมีสิ่งเจือปนสูง
3. การโม่แบบผสม จะได้เป็นแป้งคุณภาพสูงและสุกแล้ว ชนิดนี้นิยมนำไปทำขนมไทยต่างๆ
รายงานการศึกษาค้นคว้าวิจัยที่เกี่ยวข้อง
รายงานการศึกษาค้นคว้าวิจัยในประเทศไทย
ยงยุทธ ยุทธวงศ์ (2555: 91-93) ได้ศึกษาเรื่อง การวิจัยชอล์กจากแป้งมันสำปะหลัง พบว่า ชอล์กที่ผลิตจากแป้งมันสำปะหลังจะมีเนื้อชอล์กที่เนียน จับตัวได้เป็นแท่ง แต่ค่อนข้างอ่อนนุ่ม เมื่อเขียนสีออกดีคุณภาพเทียบเท่ากับการใช้ปูนปลาสเตอร์ นอกจากนี้ยังสามารถใช้แป้งชนิดอื่นๆทดแทนได้
ประพนธ์ วิไลรัตน์ (2554: 100-102) ได้ศึกษาเรื่อง ประสิทธิภาพของแป้งข้าวเจ้า พบว่า แป้งข้าวเจ้ามีลักษณะมีสีขาว สากมือ เป็นผงหยาบกว่าแป้งสาลี ถ้าทิ้งให้เย็นจะอยู่ตัวเป็นก้อนร่วนไม่ถึงกับเหนียวหนึบ และไม่ถึงกับร่วนฟูเป็นเนื้อทราย น้ำตาลโปรตีนต่ำจากแป้งข้าวเจ้า สามารถรักษาทารกแพ้โปรตีนจากนมทุกชนิด โดยยังคงคุณค่าสารอาหารครบถ้วน ย่อยง่าย และดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังผลิตเป็นน้ำดื่มเกลือแร่รักษาโรคท้องร่วงและเครื่องดื่มนักกีฬาได้
อารันต์ พัฒโนชัย (2552: 55-56) ได้ศึกษาเรื่อง คุณประโยชน์-โทษ จากชอล์กใกล้ตัว พบว่า จากการศึกษาค้นคว้าวิจัยแล้วในตัวชอล์กนั้นมีโทษที่มากกว่าประโยชน์อยู่ ซึ่งโทษส่วนมากนั้นมากจากส่วนประกอบเกือบ100% ที่ส่งผลต่อสุขภาพโดยเฉพาะเกี่ยวกับระบบหายใจ ดังนั้นถ้ามีการเปลี่ยนส่วนประกอบในชอล์กได้จะเป็นผลดีมาก
สรุป แป้งข้าวเจ้ามีประโยชน์ มีสิทธิภาพพอที่จะทำเป็นชอล์กไร้ฝุ่นที่มีคุณภาพ และดีกว่าชอล์กแบบเดิมที่โทษต่อสุขภาพมาก
รายงานการศึกษาค้นคว้าวิจัยในต่างประเทศ
อลิสซาเบธ มิลส์ (2548: 74-75) ได้ศึกษาเรื่อง แป้งกับชีวิต พบว่า แป้งอยู่กับเราทุกที่ถ้าสังเกตุดีๆ ทั้งในอาหารที่มีส่วนประกอบเป็นแป้งเกือบทุกชนิด ไม่แต่ของเครื่องใช้ เครื่องสำอางก็มีแป้งประสมอยู่ เพราะแป้งนั้นเป็นวัตถุดิบจากธรรมชาติที่หาง่าย มีประโยชน์ต่างๆมากมาย
แมรี่ เฮลเมนสไทน์ (2553: 109-110) ได้ศึกษาเรื่อง ชอล์กไร้ฝุ่น พบว่า ชอล์กที่ใช้กันในปัจจุบันนั้นมีอันตรายต่อสุขภาพร่างกายมากเพราะมีส่วนประสมของสารที่ไม่ปลอดภัยต่อร่ายกายเมื่อสูดดมเข้าไปหรือสัมผัส จึงทำให้เกิดชอล์กไร้ฝุ่นขึ้น ส่วนมากมักมาจากแป้งชนิดต่างๆเพราะมีความเป็นธรรมชาติ ไม่ก่อการแพ้เมื่อสูดดมเข้าไปก้อไม่เป็นอันตราย
รีเบคกา บอยล์ (2551: 87-89) ได้ศึกษาเรื่อง ต้นกำเนิดชอล์ก พบว่า ชอล์กมีประวัติยาวนานมากว่า 500 ปีแล้ว ในยุคแรกๆ จะนิยมเขียนเพียง 3 สีคือ สีดำ สีแดง และ สีขาว เริ่มมีใช้ในห้องเรียนนับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นยุคที่การศึกษาเริ่มแพร่หลายชอล์กผลิตจากฝุ่นผงละเอียดบริสุทธิ์นำมาอัดเป็นแท่ง
สรุป ผลการศึกษาค้นคว้าวิจัยในต่างประเทศแป้งเป็นส่วนประกอบที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายเพราะมาจากธรรมชาติ ส่วนชอล์นั้นมีมายาวนานแล้ว แต่ส่วนประสมนั้นไม่ปลอกภัยต่อร่างกายเมื่อสัมผัสหรือสูดดมเข้าไป
กรอบแนวคิดในการศึกษา
จากการศึกษาค้นคว้าเอกสารที่เกี่ยวข้องข้างต้นแล้ว ผู้ศึกษาได้กำหนดกรอบแนวคิดในการศึกษาเรื่องการผลิตชอล์กไร้ฝุ่นจากแป้งข้าวเจ้าไว้ดังนี้
ภาพที่ 2.1: กรอบแนวคิดในการศึกษา